วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

Zinc

สังกะสี (ซิงค์) หรือ Zinc เป็นตัวช่วยควบคุมให้กระบวนการต่าง ๆในร่างกายดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และคอยช่วยซ่อมบำรุงระบบเอนไซม์และเซลล์ต่าง ๆ หากร่างกายมีเหงื่อออกมากเกินไป อาจทำให้ร่างกายต้องสูญเสียสังกะสีไปมากถึง 3 มิลลิกรัม ต่อวัน
แหล่งที่พบซิงค์ได้ในธรรมชาติ ได้แก่ อาหารทะเล หอยนางรม เนื้อสัตว์ เนื้อวัวไม่ติดมันแบบย่าง เนื้อลูกแกะ ตับลูกวัว ไข่ นมผงปราศจากไขมัน มัสตาร์ดแบบแห้ง จมูกข้าวสาลี แป้งงา เนยงา ถั่วลิสง เมล็ดฝักทอง เมล็ดแตงโม เม็ดก๋วยจี๊ ผงโกโก้ ช๊อคโกแลต บริเวอร์ยีสต์ เป็นต้น
ศัตรูของธาตุสังกะสี คือ ไฟเทต ซึ่งทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมสังกะสีได้ และสังกะสีมักถูกทำลายจากกระบวนการแปรรูปอาหาร หรืออาจมีปริมาณน้อยมากเนื่องจากพืชผักนั้นปลูกในดินที่ไม่มีแร่ธาตุ และโรคจากการขาดสังกะสี ได้แก่ โรคต่อมลูกหมากโต อวัยวะสืบพันธุ์ไม่เจริญเต็มที่ และโรคผนังหลอดเลือดแดงแข็ง
คำแนะนำในการรับประทานซิงค์
·        ธาตุสังกะสี จะทำงานร่วมกับ วิตามินเอ แคลเซียม ฟอสฟอรัส ได้ดีที่สุด
·        หากคุณเพิ่มธาตุสังกะสีในอาหาร ร่างกายคุณอาจต้องการวิตามินเอเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
·        ซิงค์มักเป็นส่วนผสมของอาหารเสริมในรูปของวิตามินรวมหรือแร่ธาตุรวม หรืออาจะอยู่ในรูปแบบที่รวมอยู่กับวิตามินซี แมกนีเซียม หรือ วิตามินบีรวมก็ได้ โดยไกลซิเนตซิงค์ซิเทรต เป็นสังกะสีในรูปแบบที่ดีที่สุด
·        คุณอาจหาซื้อได้ในรูปของ ซิงค์ซัลเฟต ซิงค์กลูโคเนต ซิงค์พิโคลิเนต ในขนาดตั้งแต่ 15 – 50 mg. โดยซิงค์ซัลเฟตและซิงค์กลูโคเนตจะมีประสิทธิภาพดีพอ ๆกัน แต่ซิงค์กลูโคเนตจะรับประทานได้ง่ายกว่า
·        ซิงค์ในรูปของลูกอมแก้หวัด เวลาอมควรปล่อยให้ละลายในปากเพื่อประสิทธิภาพที่ดีที่สุด ผลเสียของการรับประทานเกินขนาด อาจส่งผลทำให้ระบบย่อยอาหารแปรปรวน ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ไม่ดี และทำให้ขาดทองแดงได้ โดยขนาดมากกว่า 1,000 mg. ขึ้นไปอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้
·        ขนาดที่แนะนำให้รับประทานสำหรับผู้ใหญ่ต่อวันคือ 12 – 15 mg. และสำหรับหญิงให้นมบุตรตั้งแต่ 15 mg. ขึ้นไป
·        สำหรับผู้ที่รับประทาน วิตามินบี6 ในปริมาณมาก ควรได้รับธาตุสังกะสีเสริม
·        สำหรับผู้ที่ดื่มสุราเป็นประจำหรือผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ควรได้รับธาตุสังกะสีเสริม
·        สำหรับผู้สูงอายุที่มีความกังวลเรื่องความแก่ชรา สังกะสีและแมงกานีส คือคำตอบสำหรับคุณ
·        สำหรับผู้ที่ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ควรรับประทานสังกะสีเพิ่ม ก่อนจะไปรักษาด้วยฮอร์โมนเพื่อให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ
·        สำหรับผู้ชายที่มีปัญหาเรื่องโรคต่อมลูกหมากหรือไม่ก็ตาม ก็ควรที่จะได้รับสังกะสีอย่างเพียงพอ
·        สำหรับผู้ที่เสื่อมสรรถภาพทางเพศควรรับประทานสังกะสีร่วมกับวิตามินบี6
·        สำหรับผู้ที่รับประทานอาหารเสริมที่มี ธาตุเหล็ก และธาตุสังกะสี ควรแยกเวลาในการรับประทาน เนื่องจากมันอาจขัดขวางการทำงานของกันและกันได้
·        หากคุณมีอาการท้องร่วงหรือรับประทานใยอาหารในปริมาณสูง ระดับของธาตุสังกะสีในร่างกายจะต่ำลง
·        สังกะสี สามารถช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายได้ แต่หากเกินกว่า 150 mg. ต่อวันแล้ว อาจไปขัดขวางการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันซะเอง





วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

โสม สมุนไพร

ประวัติความเป็นมาของโสมเกาหลี
เรื่องราวความมหัศจรรย์ของโสมทำให้เกิดตำนาน
รากโสม 1 รากจะมีมูลค่ามากกว่าทองคำ 
“เป็นรากไม้ที่ขุดพบใต้พื้นดิน เสริมสร้างให้ประสาทตื่นตัว”
โสมทำให้คอเลสเตอรอลที่เกาะอยู่ตามผนังหลอดเลือดลดน้อยลง
โสมมีฤทธิ์สร้างเม็ดเลือดแดง
ใช้เป็นยารักษาโรคเกี่ยวกับความผิดปกติต่าง ๆ เช่น หย่อนสมรรถภาพทางเพศ  
อาการท้องผูก
ระบบทางเดินอาหารทำงานผิดปกติ
โลหิตจาง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และความเครียด



บันทึกทางประวัติศาสตร์ ของโสมเกาหลี ตำนานโสมเกาหลี ราชันย์แห่งความเชื่อถือ
พืชสมุนไพรที่มีคุณภาพทางยาที่สำคัญอย่าง โสมกาหลี อาจมีความหมายกับผู้บริโภคมากกว่าเป็นเพียงแค่ตัวยารักษาโรค เพราะบางครั้งโสมจะได้รับการยกย่องเทิดทูนเสมือนหนึ่งของขวัญและพลังอำนาจ ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานให้เลยทีเดียว พิธีกรรม ความเชื่อ จะแสดงในรูปของการชุมนุม ร่วมกันเพราะปลูก เก็บรักษา จัดเตรียมและบริโภครากโสมร่วมกัน เรื่องราวความมหัศจรรย์ของโสมทำให้เกิดตำนาน เล่าขานขึ้นมากมาย
ตำนานแต่ละเรื่องก็มีชื่อที่แตกต่างกันไป เช่น มีตำนานเรื่องหนึ่งซึ่งเล่าว่า ที่หมู่บ้านฉานถั่นในจังหวัดเซนสี ชาวบ้านประสบความเดือดร้อนอย่างหนักจากเสียงครวญครางและโหยหวนรบกวนติดต่อ กันนานหลายเดือน เสียงร้องนั้นดังมาจากที่ใดที่หนึ่งในป่าหลังหมู่บ้าน ต่อมาชาวบ้านก็ได้รวมตัวกันออกค้นหา ตำแหน่งของเสียงร้องนั้นในค่ำคืนหนึ่ง จนในที่สุดก็พบว่าเสียงดังกล่าวดังมาจากใต้พุ่มไม้ใหญ่พุ่มหนึ่งซึ่งหากจาก หมู่บ้านไปหนึ่งไมล์ พวก เขาได้ช่วยกันขุดไปใต้พุ่มไม้ดังกล่าวก็พบกับรากไม้ขนาดใหญ่รากหนึ่ง รากไม้นี้มีรูปร่างหน้าตาและขนาดคล้ายกับมนุษย์ จากนั้นเสียงร้องโหยหวนก็หายไป จากจุดนี้เอง รากไม้ที่พบจึงได้รับการขนานนามว่า ดวงวิญญาณแห่งพระแม่ธรณี (ตี้ ชิง)


คำว่า จินเซ็ง มีรากศัพท์มาจากคำว่า เจน เซน ซึ่งหมายถึงการก่อตัวเป็นร่างมนุษย์เพชชาย (เจน) ของแม่พระธรณี (เซน) หรือเรียกง่ายๆว่า รากมนุษย์ นั้นเอง และยังมีตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาอีกตำนานหนึ่งในเกาหลี ซึ่งได้เล่าถึงความลี้ลับมหัศจรรย์ว่า มีบุตรชายอีกคนหนึ่งกับหลานปู่อีกคนหนึ่ง ซึ่งอยู่ด้วยความลำบากยากจนข้นแค้น แทบจะไม่มีกินได้ทุ่มเทกำลังกายใจทั้งชีวิตเพื่อดูแลปู่ที่ป่วยหนัก อยู่มาคืนหนึ่งหลานปู่นอนไม่ หลับ เนื่องจากเทียนไขที่จุดไว้ดับอยู่เรื่อยๆ แล้วในขณะนั้นหลานปู่พลันรู้สึกว่าไม่มีลมที่ไหนมา พัดผ่านเลยแล้วทำไมเทียนถึงดับด้วยเหตุนี้ทำให้เขาเชื่อว่าต้องมีวิญญาณสิงอยู่ในห้องอย่างแน่นอน เด็กน้อยคนนั้นก็ได้หยิบเข็มที่มีด้ายติดอยู่ขึ้นมา ครั้นพอรู้สึกว่ามีวิญญาณยืนอยู่เขาก็ได้จ้วงเข็มไปทาง ทิศนั้น หลังจากแทงด้วยเข็มและเข็มนั้นก็พลันหายไป เขาก็เดินหาเข็มโดยตามรอยด้าย จนกระทั่งในที่สุดเขาก็ได้พบเข็มนั้นปักอยู่ที่โคนต้นโสมป่าต้นหนึ่ง เขาจึงขุดเอารากโสมนั้นขึ้นมา แล้ว ต้มให้ปู่กินต่อมาปู่ซึ่งป่วยหนักกลับหายเป็นปกติอย่างรวดเร็วด้วยความ กตัญญูอันสูงส่งนี้ วิญญาณที่สิงอยู่ในรากโสมจึงได้มอบรากโสมให้เด็กน้อยเป็นรางวัลตอบแทนในความ กตัญญู…

ชาวจีนให้ความเคารพนับถือโสมป่า ซึ่งปัจจุบันแทบจะสูญพันธุ์หมดแล้วอย่างชิ้นเชิง ความเคารพนับถือโสมป่าที่มีเหนือพืชสมุนไพรชนิดอื่นๆ แม้จะเป็นโสมที่เกิดจากการเพราะปลูก ก็ยังถือว่าโสมเป็นตัวยาที่ยอดเยี่ยมวิเศษสุด ด้วยความเคารพนับถืออย่างสูงสุดนี้ สะท้อนให้เห็น ใน เรื่องราวที่เกี่ยวกับโสมซึ่งได้ถูกบันทึกไว้ในประวิติศาสตร์หลากหลาย เหตุการณ์ เช่น ในยุค แห่งศักดินาหรือยุคแห่งระบบจักรพรรดิเรืองอำนาจ รากโสม 1 รากจะมีมูลค่ามากกว่าทองคำ ในหนักที่เท่ากันเสียอีก

ในปี 1790 จักรพรรดิจีนได้ส่งทหารทาร์ทาจำนวน 10,000 นาย ออกค้นหาโสม โดยที่พระองค์ได้ทรงบัญชาให้ทหารแต่ละนายค้นหาโสมที่มีคุณภาพดีที่สุดมาถวาย คนละ 2 ชั่ง
ในศตวรรษที่ 2 ก่อนพุทธศักราช จักรพรรดิจีนพระองค์หนึ่งพระนามว่า เชน หนาน ซึ่ง พระองค์เป็นนักสมุนไพรที่มีพระกิตติศัพท์เป็นที่เลื่องลือมากที่สุด และยังทรงเป็นในบรรดาผู้ ก่อตั้งสถาบันแพทย์โบราณของจีน ได้มีพระราชหัตถเลขาบันทึกตัวยาสมุนไพรไว้ใน เชน หนาน เพนเชา ชิง หรือเรียกว่า สารานุกรมเภสัชศาสตร์แห่งสรวงสวรรค์ของชาวประชา ในบันทึกดังกล่าว มีชื่อสมุนไพรนับร้อยๆ ชนิด และในบรรดาตัวยาที่ทรงคุณประโยชน์ อันเอนก อนันต์นับร้อยๆ ชนิดเหล่านั้น โสม ได้ถูกจัดให้อยู่อันดับแรกสุด นอกจากจะทรงจัดให้โสมจัดอยู่อันดับแรกแล้ว ยังทรงบันทึกว่าโสมไม่มีอันตรายใดๆ กับมนุษย์อีกด้วย
ในคัมภีร์เวดาส ซึ่งเป็นคัมภีร์เก่าแก่อายุถึง 5,000 ปีของชาวอินเดียก็ได้สะท้อนให้เห็นถึงคุณประโยชน์ของโสม ด้วยคำเล่าขาน ในคำภีร์อเทวาก็มีบทสวดบรรยายถึงวิธีรักษาสุขภาพ ฟื้นฟูสภาพร่างกายให้แข็งแรง โดยบรรยาย คุณลักษณะและสรรพคุณของโสมว่า “เป็นรากไม้ที่ขุดพบใต้พื้นดิน เสริมสร้างให้ประสาทตื่นตัว” รวมทั้งบรรยายต่อไปอีกว่า ผู้ใดได้กินแล้วจะมีพละกำลังแข็งแกร่งประดุจช้างสาร มีพลังทางเพศ ร้อนแรงประดุจไฟแผดเผา บทสวดดังกล่าวบรรยายถึงโสมว่า เป็นพี่ของโซม่า โซม่าเป็นตำนานพืชให้ชีวิต ในประเทศอินเดียเป็นยาอายุวัฒนะ ที่ชาอินเดียยกย่องบูชา และสัการะ ดังนั้น หากโสมเป็นพี่ของโซม่า โสมย่อมต้องมีพลานุภาพและอำนาจยิ่งใหญ่ไพศาล
ปรัชญาเต๋า ซึ่งเป็นปรัชญาของชาวจีน คำว่า เต๋า หมายถึง วิถี อันหมายถึงกระแสไหลเวียน ของพลังงานใน จักรวาลและกระแสพลังงานที่ไหลเวียนนั้นจะก่อตัวหยุดนิ่งชั่วคราวในวัตถุธาตุ มนุษย์ก็ก่อกำเนิดจากวัตถุธาตุเหล่านี้ รวมทั้งมนุษย์จะมีสุขภาพแข็งแรง หากสามารถปฏิบัติตนสอดคล้องกับเต๋า อย่างกลมกลืน เพราะเต๋าคือสาระสำคัญในการดำรงอยู่ของโลก โสมเป็นแหล่งรวมธาตุสำคัญที่สามารถปรับสภาพร่างกายให้กลมกลืนเป็นหนึ่ง เดียวกับธรรมชาติได้ ถ้ามนุษย์สามารถนำโสมมาใช้อย่างชาญฉลาดแล้ว คนๆนั้นก็จะได้รับผลด้านสุขภาพ
ในพงศาวดาร ซัมฮุคซากิ (Samhuksagi) จดหมายแห่งสามก๊ก ได้บันทึกว่า รากโสมเกาหลี จำนวน 200 ราก ได้ถูกถวายให้แก่จักรพรรดิแห่งราชวงค์ถังของจีน ในปี 1734 ปราชญ์ราชวงค์โซซอนแห่งเกาหลี ชื่อ จู เซ บุง (Ju Se-Bung) ได้รับมอบหมายให้สำรวจสภาพอากาศและดินที่เหมาะสม เพื่อจะทำการเพราะปลูกโสม และได้พบว่า พื้นที่เขต ปุงกี เป็นสถานที่ ที่เหมาะสมในการเพราะปลูกโสม ตั้งแต่นั้นมา เขตปุงกี ได้รับชื่อเสียงว่าเป็นต้นกำเนิดการปลูกโสม ดังนั้นในเดือนตุลาคมของทุกปีจะมีการจัดเทศกาล โสมปุงกี (Punggi Ginseng Festival) เป็นประจำทุกปี




ผู้คนบนคาบสมุทรเกาหลีใช้โสมกันมาหลายพันปีแล้ว
1) 33-38 ปีก่อนคริสตกาล ซาจกได้บันทึกอักขระจีน (ออกเสียงในภาษาจีนว่า ซาน ออกเสียงในเกาหลีว่า ซัม ) ไว้ในหนังสือคุบจีจัง
2) ค.ศ. 107-124 ฮฮจิน ได้กล่าวถึงชื่อของศูนย์กลางการผลิตโสมหลายแห่งไว้ในซัลมุน
3) ค.ศ. 196-220 จังจองคยอง เขียนตำรายาไว้ในวีฮันรน 113 ตำรับ มีโสมปรากฎอยู่ 21 ตำรับ
4) ค.ศ. 483-496 โสมได้รับการพิจารณาให้เป็นโอสถชั้นสูงในหนังสือ 3 เล่ม ของฮองคยอง
(ชินเจบอนซอกคยอง) คือ หนังสือ 7 เล่ม ของบอนชอกคยองจิบ (มยองวิบยอลรก) และ ซันมยอง ของโยฮี
5) ค.ศ. 549 ในปีที่ 27 แห่งรัชสมัยของพระเจ้าซอง ทรงส่งโสมเป็นสินค้าไปกับเหลียง แห่งประเทศจีน
6) ค.ศ. 627 ราชอาณาจักรชิลลาและราชวงค์ถังแห่งประเทศจีนแลกเปลี่ยนโสมกัน
7) ค.ศ. 739 พระเจ้าบัลเฮมุน ค้าขายโสมกับญี่ปุ่น
พฤกษศาสตร์ของโสมเกาหลี เชื้อสายทางพฤกษศาสตร์
Embryophyta เอมบรีโอไฟต้า
Angiospermae แองกิโอสเปอร์มี
Dicotyledoneae ไดโคทีเลโดนี
Archichlamydeae อาร์คิดลาไมดี
Umbvelliflorate อัมบ์เวลลิฟลอเรต
Araliaceae อะราลิเอซี
panax พานักซ์
ชื่อวิทยาศาสตร์ของโสมเกาหลี คือ Panax ginseng C.A.Meyer โสมเป็นไม้พุ่ม มีอายุหลายปี ใบเป็นใบประกอบ ผลเป็นผลมีเนื้อแบบเบอร์รี่ มีรูปทรงคล้ายแตงกวา มีสีขาว ขึ้นในที่ร่ม
การจำแนกทางวิทยาศาสตร์ของโสม
โสม ใช้เป็นชื่อสามัญของ ในอักขระจีน (ออกเสียงในภาษาจีนว่า เหยินซาน ออกเสียงในภาษาเกาหลีว่าอินซัม มีความหมายว่า สมุนไพรที่มีรูปร่างเหมือนคน) ในปี 1833 นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ Nees van Esenbeck ได้ตั้งชื่อโสมเกาหลีในครั้งแรกว่า Panax schineseng Nees คำว่า Panax มีรากศัพท์มาจากคำว่า Pan ของคำว่า Pana ในภาษากรีก ซึ่งแปลว่า ทั้งมวล และคำว่า ax ของคำว่า axos ซึ่งแปลว่ารักษา ดังนั้น Panax จึงมีความหมายว่า รักษาได้ทุกโรค ในปี 1843 นักพฤษศาสตร์ชาวรัสเซีย ชื่อ Carl Anton Meyer ได้เปลี่ยนชื่อทางวิทยาศาสตร์ของโสมเป็น Panax ginseng C.A.Meyer
ชนิดของ Panax
โสม เป็นไม้พุ่ม มีอายุหลายปี จัดอยู่ในวงศ์ Araliaceae และสกุลของ Panax ในจำนวน 11 ชนิด ที่เกี่ยวข้องกัน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันได้แก่
(1) Panax ginseng C.A . Meyer ขึ้นอยู่ในเอเซียตะวันออกไกล (33-48 องศา ละติจูดเหนือ : เกาหลี บางส่วนของรัสเซีย) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคาบสมุทรเกาหลี
(2) Panax quinquefolium L. ขึ้นในสหรัฐอเมริกาและแคนดา
(3) Panax notoginseng (Burk) F.H. Chen ขึ้นอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเขตหยวนหนาน และ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเขตก่วงซี่ ในประเทศจีน




การเพราะปลูกโสม
บนคาบสมุทรเกาหลี โสมขึ้นอยู่ทั่วประเทศ ละหว่างละติจูดเหนือที่ 33 และ 48 องศา โสมขึ้นเองตามธรรมชาติ บนเทือกเขาเทเบก และในภูเขาลึกหลายแห่ง ที่บริเวณตอนเหนือของ คาบสมุทร โดยทั่วไป หันหน้าไปทางเหนือหรือตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ความสูง 100-800 เมตร
เหนือน้ำทะเล ในเกาหลีใต้ บริเวณเพราะปลูกที่ดีที่สุดอยู่ระหว่างละติจูดเหนือที่ 36-38 อาศา แต่ถ้าสภาพดินและพื้นที่ปลูกเหมาะสมโสมก็ปลูกได้ในทุกพื้นที่ เกาหลีตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางของซีกโลกเหนือ ซึ่งมีสภาพดินและภูมิอากาศ และสิ่งแวดล้อมเหมาะแก่

การเจริญเติบโตของโสม
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์อย่างหนึ่งของโสมคือ มีความต้องการที่สภาพแวดล้อมเฉพาะสูงมาก ถ้าต้องการให้การเพราะปลูกประสบผลดีการทำให้โสมปรับตัวได้ในสภาพแวดล้อมใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิมเป็นเรื่องที่ทำได้ยากเมื่อนำมาปลูก รูปร่างคุณภาพ และประสิทธิผลจะแตกต่างจากโสมที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ด้วยเหตุปัจจัยเหล่านี้ เกาหลีจึงได้รับการพิสูจน์แล้วว่า เป็นพื้นที่ที่ดีที่เหมาะสำหรับการปลูกโสม และโสมเกาหลีก็ได้รับ การพิจารณาให้เป็นโสมที่ดีที่สุดในโลก

สภาพแวดล้อมในธรรมชาติสำหรับโสม
การสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อเพราะปลูกโสมให้คล้ายคลึงกับสภาพแวดล้อมในธรรมชาติ ของโสมป่า ต้องการปัจจัยต่างๆ ที่ใกล้เคียงดังต่อไปนี้
ภูมิอากาศ อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปี 0.9 องศา – 13.9 องศา 20-25 องศาในฤดูร้อน หากอุณหภูมิสูงขึ้นเกิน 35 องศา จะเกิดความเสียหายทางสรีรวิทยา ปริมาณฝนตลอดปี ควรเป็น 700-2,000 มิลลิเมตร ปริมาณที่เหมาะสมที่สุดคือ 1,000-1,300 มิลลิเมตร ต้องการหิมะตกเป็นครั้งคราว
ความต้องการแสง โสมเป็นพืชชอบแสงปานกลาง ต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้รับแสงโดยตรง การกระจายแสงที่เหมาะสมคือ ⅛ – 1/13
ดิน ดินที่มีปริมาณไนโตรเจนไม่มากเกินไป (ต่ำกว่า100ppm) กรดฟอสฟอริค (70-200ppm)
และเบสทดแทนในปริมาณที่เหมาะสม (ด่าง 0.2-0.5me/100g, ปูนขาว 2.0-4.5me/100g,แมกนีเซียม 1.0-3.0me/100g) จะดีที่สุด สภาพของกรด-ด่างของดินที่เหมาะสม คือ ค่าพีเอช 5.0-6.0
ตำแหน่งภูมิประเทศ พื้นที่ค่อยๆ ลาดลงต่ำ หันหน้าไปทางเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือจะดีที่สุด แม้จะเป็นพื้นที่ราบ หากมีการระบายน้ำดีก็จัดว่าเหมาะสม
ดินอุดมซุยอินทรีย์ คล้ายคลึงกับสภาพแวดล้อมในธรรมชาติของโสม นับวาจำเป็น สภาพดินที่ต่างไปจากสภาพธรรมชาติมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีการใช้ปุ๋ยเคมี ปริมาณ มาก จะไม่ให้ผลผลิตโสมที่มีคุณภาพ
การเจริญเติบโตและวงจรชีวิตของโสมเกาหลี
การปลูกโสมตั้งแต่เริ่มต้นจนกว่าจะเก็บเกี่ยวได้ต้องใช้ระยะเวลา 4-6 ปี เมื่อเสร็จสิ้นการเก็บเกี่ยวโสมแล้ว พื้นที่ที่เคยปลูกโสมนั้นจะต้องปล่อยทิ้งไว้นานถึง 15 ปี ไม่สามารถปลูกโสมได้อีก จะต้องปลูกพืชพวกถัวเหลืองที่ซึ่งจะคืนความสมบูรณ์ให้แก่ดินแปลง
นั้น ซึ่งแสดงว่ารากโสม ได้ดูดสารอาหาร แร่ธาตุต่างๆ ไปจากดินอย่างมากมายเลยทีเดียว




ลักษณะจำเพาะสำหรับการเจริญเติบโตของโสมเกาหลี
1. บริเวณที่สามารถจะทำการเพราะปลูกโสมเกาหลีได้นั้น จะต้องเป็นบริเวณที่มีอุณหภูมิ แตกต่างกันมากถึง 50 องศาเซลเซียส ซึ่งในฤดูหนาว อุณหภูมิประมาณ -15 องศา และในฤดูร้อน อุณหภูมิประมาณ +25 องศา โดยจะพบคุณลักษณะเช่นนี้เฉพาะเกาหลี บริเส้นขนานที่ 38 เท่านั้น
2. ก่อนที่จะปลูกโสมจะต้องเวลาในการเตรียมดิน 1 ปี โดยการไถกลบดินประมาณ 15 ครั้ง กลบไปกลบมา แล้วโปยถัวเหลืองลงไปหมักให้เป็นปุ๋ยในดิน
3. การเพาะเมล็ดโสมในแปลงเพาะชำ ซึ่งเมล็ดโสมจะใช้เวลา 20 วัน ในการแตกเปลือกและ พร้อมออกราก โดยจะใช้เวลาในการเพาะชำนี้ 1 ปี ก็จะได้ต้นกล้าโสม
4. จากนั้นเอาต้นกล้าอายุ 1 ปี ไปลงปลูกบนแปลงปลูกอีก 4 ปี โสมก็จะเติบโตและเริ่มออกดอก
5. ช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก จะต้องพยายามไม่ให้โสมออกดอก เพราะจะทำให้สารชาโปนิน (จินเซนโนไซด์) รั่วไหลไปที่ดอก
6. ระยะปีที่ 5 รากและรำต้นโสมจะโตเร็วมากทางด้านความสูง ซึ่งคล้ายกับการเติบโตของมนุษย์ ช่วงวัยรุ่นอายุ 15-20 ปี
7.ระยะปีที่ 6 รากและรำต้นโสมจะขยายออกด้านข้าง (อ้วน) แต่ความหนาแน่นจะลดลง


สรรพคุณของโสมเกาหลี
รากโสมเกาหลี มีรสหวานชุ่มขมเล็กน้อย เป็นยาสุขุม ออกฤทธิ์ต่อปอด ม้าม และกระเพาะอาหาร ใช้เป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงอวัยวะภายในร่างกาย ทำให้ร่างกายชุ่มชื่น ช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย
ช่วยปรับสมดุลของร่างกาย ปรับการทำงานของต่อมไร้ท่อต่าง
ช่วยแก้อาการหน้ามืดเป็นลม
ช่วยแก้อาการเหงื่อออกไม่รู้ตัว กระหายน้ำ
ช่วยแก้อาการเบื่ออาหาร
ช่วยแก้หัวใจเต้นผิดปกติ หรือหายใจผิดปกติ
โสมมีสรรพคุณเป็นยาช่วยบำรุงหัวใจ โดยออกฤทธิ์คล้ายกับยา digoxin ช่วยป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด ป้องกันภาวะเส้นเลือดอุดตัน
ใช้รักษาและป้องกันโรคผนังเส้นเลือดแดงใหญ่หนาและแข็ง โดยโสมจะไปช่วยทำให้คอเลสเตอรอลที่เกาะอยู่ตามผนังหลอดเลือดลดน้อยลงโสมมีฤทธิ์ต้านการจับตัวกันของเกล็ดเลือด อันเป็นสาเหตุสำคัญของการอุดตันของหลอดเลือด
โสมมีฤทธิ์สร้างเม็ดเลือดแดง ซึ่งสามารถนำมาใช้รักษาผู้ที่มีเลือดน้อยหรือผู้ที่โลหิตจางและความดันต่ำได้ และยังช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงในกระดูกได้อีกด้วย
โสมมีฤทธิ์ต้านพิษต่อตับ โดยโสมสามารถช่วยป้องกันการเกิดพิษต่อตับอันเกิดจากคลอโรฟอร์ม คาร์บอนเตตระคลอไรด์และแอลกอฮอล์ได
ใช้เป็นยารักษาโรคเกี่ยวกับความผิดปกติต่าง ๆ เช่น หย่อนสมรรถภาพทางเพศ อาการท้องผูก ระบบทางเดินอาหารทำงานผิดปกติ โลหิตจาง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และความเครียด
      ช่วยลดอาการร้อนวูบวาบในหญิงวัยหมดประจำเดือนหรืออาการวัยทอง
      ช่วยลดอาการผิวหนังแห้งและเหี่ยวย่น จึงช่วยทำให้ผิวชุ่มชื่นขึ้น
      ช่วยเร่งฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายของผู้ป่วย ช่วยลดอาการข้างเคียงจากการฉายรังสี จากการศึกษาพบว่าโสมสามารถช่วยต่อต้านโรคและอันตรายที่เกิดจากรังสีรวมถึงสารพิษต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ



ตัวแทนจำหน่ายสินค้า  โสม ถั่งเช่า  คลิกที่นี่



การทำธุรกิจออนไลน์ อย่างไรให้สำเร็จ


ทำธุรกิจออนไลน์อย่างไรดี 
การลงทุนสร้างร้านค้าสำหรับขายของบน internet ต้องลงทุนต่างๆ ดังต่อไปนี้
-      domain name
-      พื้นที่สำหรับเก็บเว็บไซต์
-      โปรแกรมระบบหน้าร้านและหลังร้าน
-      ตัว เว็บไซต์จะแสดงข้อมูลเกี่ยวร้านค้า รายการสินค้า
-      ระบบตระกล้าชื้อสินค้า ระบบคิดเงินและจ่ายเงินโปรแกรมดังกล่าว เดี่ยวนี้มีให้ใช้เยอะแยะเต็มไปหมด ทั้งเสียเงิน และไม่เสียเงินก่อน จะทำร้านค้าบนเว็บ

เริ่มต้นอย่างไร
เริ่มที่ตัวเราก่อน คุณคือใคร ขายอะไร ลูกค้าเป็นใคร คู่แข่งเป็นใคร แล้วคุณมีจุดแข็งอย่างไร และแตกต่างจากคู่แข่งอย่างไร ทำไมลูกค้าต้องซื้อสินค้าคุณ
-     
   ต้องรู้พื้นฐาน ระบบทางคอมพิเตอร์ ก่อนว่า ทำอะไรอย่างไรได้บ้าง
-     ตัดต่อรูปภาพ หรือการทำข้อความต่าง ๆ
-     การเลือกสินค้าที่เหมาะกับเรา
-     การจัดส่ง
-     การโอนเงินชำระ
-     สินค้ากี่ชนิด
-     เตรียมสินค้า
-     เตรียมโปรโมท
-     กำหนดราคา
-     ตัดต่อ ถ่ายภาพสวยงาม
-     ใบปลิว เพื่อทำการค้าออนไลน์
o  ทั้งหมดคือ ขั้นตอนกว่าจะเป็น เว็ปไซค์ให้เราขาย  บางคนไปอบรมออนไลน์ นำสินค้าเข้ามาขาย แต่ไม่มีความรู้ทางคอมเลย ก็เสียเงินอบรมฟรี ๆ ไป
o  ต้องหาสินค้า ที่บ่งบอกกลุ่มตลาดของเรา
o  ต้องเรียนรู้การโปรโมท โฆษณา
o  การทำ seo
o  ต้องมีวินัย ทำอย่างสม่ำเสมอ
o  เมื่อได้เว็ปไซค์ของตัวเองแล้ว ก็ทำการโปรโมท
o  แต่ถ้าไม่สามารถทำเว็ปไซค์เองได้ แต่ต้องการจำหน่ายสินค้าอย่างเดียว แนะนำให้ซื้อเว็ปที่ขายสำเร็จพร้อมสินค้า แต่ก็ต้องรู้วิธีการโฆษณาให้มาก และเทคนิค รวมทั้งดูผลประโยชน์ที่ได้รับด้วยว่าคุ้มหรือไม่ 
o  ในท้องตลาดส่วนใหญ่ มักได้ค่าตอบแทนน้อย


ถ้าต้องการผลตอบแทน 30% สมัครสมาชิกเฟรนไชส์ ดีกว่า ประหยัดเวลา การทำเว็ปไซค์เอง มีเจ้าหน้าที่คัดสรรสินค้าให้และดูแลการส่งบริการให้แล้วเสร็จ เพียงโอนตังชำระค่าสินค้า และ ค่าขนส่ง สะดวกกว่า  อีกทั้งค่าตอบแทนสูงสะดวกกว่า  

                               สนใจสมัครตัวแทนจำหน่ายสินค้า







วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

สมุนไพรถั่งเช่า

ถั่งเช่า
   ถั่งเช่า หรือ ตังถั่งเช่า คือ พืชตระกูลเห็ดราในสกุล Ophiocordyceps มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ophiocordyceps sinensis มีชื่อเรียกทั่วไปอีกว่าหญ้าหนอน เกิดจากการที่ตัวหนอนอ่อนของตัวด้วงจำพวกผีเสื้อ หนอน มอด ตั๊กแตน หรือด้วงค้างคาวซึ่งมีเชื้อ มุดเข้าไปอยู่ใต้ดินในช่วงฤดูหนาว และค่อย ๆ กลายสภาพเป็นเชื้อราที่มีชื่อว่า Sclerotea และเมื่อถึงฤดูร้อนเส้นใยในตัวหนอนที่ตายแล้วก็จะสร้างดอกออกมาปกคลุมตัวหนอนจนมีรูปร่างคล้ายกระบอง จากนั้นก็จะเจริญเติบโตขึ้นมีลักษณะกลายต้นหญ้า โดยถั่งเช่า ประกอบด้วย 2 ส่วนได้แก่ ตัวหนอน และเห็ดที่เจริญเติบโตขึ้นบริเวณส่วนหัวของหนอน มีชื่อว่า Cordyceps sinensis (Berk.) Saec. รสชาติของถั่งเช่าออกขม และอมหวานเล็กน้อย สามารถกินได้ทั้งแบบสด ๆ หรือนำไปต้มเพื่อรับประทานก็ได้ ทั้งนี้ ถั่งเช่าที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย ได้แก่ ถั่งเช่า และถั่งเช่าสีทอง ซึ่งเป็นเห็ดในสกุลเดียวกัน และมีสรรพคุณใกล้เคียงกัน



          ถั่งเช่าได้รับการขนานนามว่า "ไวอากร้าแห่งเทือกเขาหิมาลัย" เนื่องจากมีสรรพคุณโดดเด่นในเรื่องการเสริมสมรรถภาพทางเพศในเพศชาย อีกทั้งยังเป็นสมุนไพรที่อยู่ในแถบที่ราบสูงทิเบต ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความสูงจากน้ำทะเลมากกว่า 4,000 เมตรขึ้นไป นอกจากนี้ก็ยังสามารถพบได้ในบริเวณภาคใต้ของมณฑลชิงไห่ เขตซางโตวในทิเบต มณฑลกานซู ภูฏาน เนปาล และยังมีการเพาะเห็ดชนิดนี้ในมณฑลเสฉวน ยูนนาน และกุ้ยโจว ถั่งเช่า ถือเป็นสมุนไพรจีนที่หายากและราคาแพง แต่มีสรรพคุณมากมาย ทำให้เจ้าสมุนไพรชนิดนี้ยังคงความนิยมสูงนั่นเอง 
ถั่งเช่า สรรพคุณเด่น ๆ ที่อยากให้รู้
ประโยชน์ของถั่งเช่ามีมาก ไม่ว่าจะต้านมะเร็ง หรือ ลดระดับน้ำตาลในเลือด เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ลดไขมันในเลือด มากมายในคุณประโยชน์          ถั่งเช่าถือเป็นสมุนไพรที่อุดมไปด้วยสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นโพลีแซคคาไรด์ (galactomannan) นิวคลีโอไทด์ (adenosine) กรดคอร์ไดเซปิก (Cordycepic Acid) ซึ่งเป็นสารที่มีเฉพาะในถั่งเช่า อีกทั้งยังมีกรดอะมิโน และเออร์โกสเตอรอล (Ergosterol) ที่มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อรา ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีสารอาหารที่สำคัญ อาทิ โปรตีน วิตามิน E วิตามิน K วิตามิน B1 วิตามิน B2 วิตามิน B12 โพแทสเซียม โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี และซิลิเนียม จึงทำให้ถั่งเช่ากลายเป็นสมุนไพรที่ถูกนำมาใช้ในการบำรุงสุขภาพและรักษาอาการบางชนิด โดยที่โดดเด่นที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของการเสริมสมรรถภาพทางเพศ เราไปดูกันดีกว่าว่าสรรพคุณของถั่งเช่าจะมีอะไรบ้างค่ะ

1. ช่วยปรับการทำงานของหัวใจ

          ในเรื่องของหัวใจ ถั่งเช่าถือเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยปรับอัตราการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติได้ อีกทั้งยังช่วยบรรเทาอาการหัวใจขาดออกซิเจน และเพิ่มออกซิเจนให้หัวใจได้ เหมาะสำหรับบำรุงผู้ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ

2. เสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน


          ในเรื่องของการสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน ถั่งเช่าก็ทำได้ดีไม่ใช่น้อย เพราะถั่งเช่ามีสรรพคุณช่วยปรับปรุงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้เป็นปกติ ช่วยให้ร่างกายสร้างเซลล์ภูมิคุ้มกันมากขึ้น กระตุ้นการสร้างแอนติบอดีในร่างกาย เพื่อเพิ่มจำนวนของเซลล์ที่ใช้เพื่อกำจัดเซลล์แปลกปลอมหรือเซลล์ที่ตายแล้ว แต่ก็ต้องใช้ในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะการใช้มากเกินไปสารในถั่งเช่าอาจไปกดการทำงานบางอย่างของระบบภูมิคุ้มกันได้

3. ต้านมะเร็ง

          นอกจากเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันแล้ว ถั่งเช่าก็ยังมีฤทธิ์ในการต้านมะเร็ง โดยเจ้าสารคอร์ไดเซปิน (Cordycepin) ที่อยู่ในถั่งเช่าถือเป็นสารที่มีความสำคัญในการต่อต้านการเกิดมะเร็ง ป้องกันการเกิดและการแพร่กระจายของเนื้อร้าย รวมทั้งยังป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่รักษาหายแล้วกลับมาเป็นซ้ำอีกด้วย

4. ลดไขมันในเลือด

          อีกสรรพคุณหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คงจะเป็นการควบคุมระดับไขมันในเลือด ลดคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอร์ไรด์ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคภัยอื่น ๆ อย่างเช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้ก็ยังเพิ่มปริมาณคอเลสเตอรอลชนิดที่ดี ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดแดงแข็งได้ ฟื้นฟูการทำงานของไต  สำหรับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง การรับประทานถั่งเช่าจะช่วยบรรเทาอาการลง และทำให้สุขภาพไตดีขึ้น อีกทั้งยังลดความเสียหายของไตที่เกิดจากสารพิษตกค้างได้ค่ะ

5. เสริมสร้างการทำงานของตับ

          สารพิษเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตับถูกทำลาย การกินถั่งเช่าเป็นอาหารเสริมจะช่วยลดผลกระทบจากสารพิษ และป้องกันการเกิดพังพืดในตับ ขณะที่สารต้านอนุมูลอิสระก็ยังเข้าไปเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคไวรัสตับอักเสบได้ด้วย

6. บำรุงโลหิต

          นอกจากจะบำรุงตับ ไต รวมทั้งหัวใจแล้ว สารที่อยู่ในถั่งเช่าก็ยังช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบโลหิต ทำให้ร่างกายสร้างไขกระดูกมากขึ้นซึ่งทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงและเซลล์เม็ดเลือดขาวถูกสร้างในปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกาย

7. ลดระดับน้ำตาลในเลือด

          สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ถั่งเช่าถือเป็นสมุนไพรอีกชนิดที่ช่วยลดน้ำตาลได้ โดยมีการศึกษาพบว่า การรับประทานถั่งเช่าวันละ 3 กรัม จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ถึง 95% ซึ่งมากกว่าการใช้ยาแผนปัจจุบันที่ควบคุมได้เพียงแค่ 54% 


ข้อควรระวังในการใช้ถั่งเช่า

          เดี๋ยวนี้หาทานถั่งเช่าได้ง่ายขึ้น เพราะมีการผลิตถั่งเช่าสกัดแบบแคปซูลออกมา แต่แม้ว่าถั่งเช่าจะมีสรรพคุณในการดูแลสุขภาพและบรรเทาอาการเจ็บป่วย ก็ยังมีสิ่งที่ควรระมัดระวังในการรับประทานถั่งเช่าอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวาน การรับประทานถั่งเช่าสามารถลดน้ำตาลในเลือดได้ แต่ถ้าหากใช้ควบคู่ไปกับยาลดน้ำตาลอาจจะทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำจนเป็นอันตรายได้เช่นกัน ผู้ที่ใช้ยากลุ่มป้องกันการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด และผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกันก็ไม่ควรรับประทาน เพราะถั่งเช่ามีฤทธิ์ต้านการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน หากใช้แล้วอาจจะเกิดอันตรายได้ 



ถั่งเช่า” ถือได้ว่าเป็นสมุนไพรสุดฮิตในปัจจุบัน เป็นการใช้ตามสรรพคุณของภูมิปัญญาที่มีมานานกว่าศตวรรษ แต่ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะการศึกษาทางคลินิกยังมีน้อย ฉะนั้นการใช้ถั่งเช่าจะต้องพิจารณาให้รอบคอบ เพราะ ถั่งเช่ามีราคาสูงมาก ทั้งนี้ยังพบว่าในท้องตลาดมีถั่งเช่าหลายระดับคุณภาพมาก ตามภูมิปัญญาของจีนมีการจัดคุณภาพของถั่งเช่าเป็น 3 ระ ดับ ระดับที่ดีที่สุด ความยาวของตัวเห็ดจะเท่ากับความยาวของตัวหนอน (ประมาณ 3-4 เซนติเมตร) ปัจจุบันมีการเพาะเลี้ยงเห็ดถั่งเช่าสีทองซึ่งเป็นเห็ดสกุลเดียวกับตังถั่งเช่า (Cordyceps) แต่คนละชนิด (species) และมีการกล่าวอ้างว่ามีคุณภาพดีกว่าตังถั่งเช่า ซึ่งจะต้องมีการศึกษาพิสูจน์ต่อไป นอกจากนี้ขนาดบริโภคของผู้ใหญ่ (อายุมากกว่า 18 ปี) ในแต่ละวัน ประมาณ 3-9 กรัม ชงกับน้ำร้อน หรือประกอบอาหาร ขนาดการใช้ที่มากเกินไปอาจจะก่อเกิดผลเสียได้ การใช้ในหญิงมีครรภ์ หญิงในนมบุตร และในเด็ก ยังมีข้อมูลไม่เพียงพอ และห้ามใช้ในคนที่แพ้เห็ด Cordyceps ผู้ป่วยที่มีอาการหลอดลมอักเสบเรื้อรัง และผู้ป่วยที่มีการเต้นของหัวใจผิดปกติ ฉะนั้นจึงควรระมัดระวังในการใช้และควรมีการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการใช้ถั่งเช่าในการรักษาโรคเพื่อความปลอดภัยและให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้บริโภค
เอกสารอ้างอิง
http://www.naturalstandard.com/
Shashidhar MG, Giridhar P, Udaya Sankar K, Manohar B. Bioactive principles from Cordyceps sinensis: A potent food supplement – A review. J Functional Food 2013;5(3):1013-30.


สนใจสมัครเป็นตัวแทนจำหน่ายได้ที่
โทร 0824639659
Id line: bymylak3









สนใจสมัครเป็นตัวแทนจำหน่าย  คลิกเลย



ดูรายละเอียดสินค้า  คลิกที่นี่